วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558





เผยโฉมอาหารออร์แกนิก

เป็นเวลานานแล้วที่ทุกครั้งเมื่อผมเห็นคำว่า   ออร์แกนิกคำถามสามข้อนี้ผุดขึ้นมาในความคิดทันที  ข้อแรก ออร์แกนิก”  นี่หมายถึงอะไรกันแน่ ข้อที่สอง อาหารออร์แกนิกนนี่มันดีต่อสุขภาพมากกว่าจริงๆ หรือเป็นเพียงกลยุทธ์อย่างหนึ่งทางการตลาดชั้นเยี่ยมเท่านั้น และสาม ทำไมอาหารออร์แกนิกจึงแพงกว่าอาหารที่เพาะปลูกด้วยกรรมวิธีทั่วไป ผมได้รู้มาว่าไม่มีแค่ผมคนเดียวที่ถามคำถามเหล่านี้กับคนอื่นๆนับล้านๆ  และอาจรวมถึงตัวคุณเองด้วย  ที่ถามคำถามเดียวกันนี้    แต่สิ่งที่น่าสับสนยิ่งกว่าก็คือ เมื่อคุณแสวงหาคำตอบเหล่านี้ คุณต้องระวังแหล่งข้อมูลด้วย  เพราะหลายสิ่งมีส่วนได้ส่วนเสีย ในเงินธุรกิจพันล้านที่กำลังเติบโตขึ้น
ผมไม่ใช่เกษตรกร  ไม่ว่าจะระบบดั้งเดิมหรือระบบออร์แกนิก  และไม่ใช่พ่อค้าผลิตภัณฑ์อาหาร พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ผมไม่มีเดิมพันในการแข่งขันนี้ผมจึงเดินหน้าในกิจการในภารกิจค้นหาคำตอบที่แท้จริง  ไม่เพียงแค่เพื่อตัวผมเอง แต่ยังเพื่อคุณอีกด้วย  และนี่คือสิ่งที่ผมค้นพบ
อาหารออร์แกนิค เป็นผลผลิตจากการทำฟาร์มแบบออร์แกนิค ปัจจุบัน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศได้มีการออกกฎให้ผู้ผลิตต้องมีหนังสือรับรองพิเศษหากต้องการทำตลาดอาหารออร์แกนิคในประเทศของตน โดยมีเงื่อนไขว่า อาหารออร์แกนิคต้องเป็นผลผลิตที่ได้มาตรฐานที่รัฐและองค์กรสากลตั้งขึ้น การผลิตอาหารออร์แกนิคเป็นอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบที่เข้มงวด และแตกต่างกับการซื้อขายโดยตรงระหว่างชาวสวนและผู้บริโภค
ในขณะที่มาตรฐานของคำว่า "ออร์แกนิค" ต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วๆ ไป การทำฟาร์มออร์แกนิค หมายถึง การทำฟาร์มในที่ๆ กำหนดและการเพาะปลูกที่มีเงื่อนไขสนับสนุนให้เกิดการผสมผสานกระบวนการทางวัฒนธรรม ชีวภาพ และกลภาพที่จะดูแลวัฏจักรการหมุนเวียนของทรัพยากรให้เกิดความสมดุลย์ทางธรรมชาติ และรักษาความหลากหลายทางชีววิทยา โดยไม่อนุญาตให้มีการใช้ยาฆ่าแมลงแบบสังเคราะห์และปุ๋ยเคมี อย่างไรก็ตาม ยาฆ่าแมลงที่ผลิตจากผลผลิตทางธรรมชาติบางชนิดอาจยอมรับได้หากถูกนำมาใช้งานภายใต้ข้อยกเว้นแต่ในจำนวนไม่มากนัก โดยทั่วไป อาหารออร์แกนิคต้องเป็นอาหารที่ไม่มีการฉายรังสี การใช้สารเคมี หรือ ใช้วัตถุเจือปนอาหารทางเคมี
มีหลักฐานมากพอที่จะยืนยันได้ว่า อาหารออร์แกนิคมีความปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากว่าอาหารธรรมดาทั่วไป 
คำว่าออร์แกนิก หรืออาหารเกษตรอินทรีย์  ต่างจากศัพท์อื่นๆในวงการอาหาร เพราะไม่ใช่คำที่ต้องมาตีความกัน รูปคำและสถานการณ์ ที่นำมาใช้อธิบายอาหารได้ถูกกำหนดมาอย่างชัดเจน และทำให้เข้าใจง่ายอย่างน่าประทับใจ 
ผู้ผลิตต้องลงแรงสักหน่อยเพื่อให้ได้รับอนุญาตติดลากอาหารออร์แกนิก บนผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ในขั้นแรกผู้รับรองที่ได้รับการยกย่องการยอมรับจากรัฐบาลต้องทำการตรวจสอบไร่นาที่ทำการปลูกอาหาร   เพื่อให้แน่ใจว่าที่เพาะปลูกนั้นๆ เป็นไปตามและถูกต้องตามกำหนดที่จำเป็นสำหรับหลักมาตรฐานอาหารออร์แกนิก  ของ USDA  และแม้แต่ขั้นตอนต่อจากนี้  เกษตรกรตลอดจนบริษัทที่จัดการหรือแปรรูปอาหารออร์แกนิกเผื่อเตรียมจำหน่ายในชั้นววางสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ต  หรือร้านอาหารที่ต้องผ่านการรับรองด้วย   สัตว์ที่เลี้ยงด้วยระบบออร์แกนิกจะต้องกินอาหารที่ปลุกด้วยระบบออร์แกนิก  ต้องไม่ถูกกักบริเวณตลอดเวลาและไม่ต้องฉีดยาปฏิชีวนะ และโฮโมนต่างๆเนื่องจากกระบวนการที่ยุ่งยาก และอาจเสียค่าใช้จ่ายสูง 
การทำเกษตรแบบออร์นิกหรือเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างแตกต่างจากเกษตรแบบดั้งเดิมทั้งในรูปแบบและสาระ จุดประสงค์ดั้งเดิมของการเกษตรออร์แกนิกคือ เพื่อส่งเสริมการอรุรักษ์ดินและน้ำ  รวมทั้งมลพิษ โดยใช้วิธีการเกษตรที่ยังคงผลิตอาหารที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของเราเกษตรออร์แกนิกจะไม่ใช้วีการเดิมๆในการใส่ปุ๋ยควบคุมวัชพืช  หรือป้องกันไม่ให้สัตว์ติดเชื้อหรือเป็นโรค
ในหลายๆทางการเกษตรแบบออร์แกนิก คือการย้อนกลับไปสู่การทำไร่นาแบบในอดีต  สมัยที่ยังไม่มีการนำสารเคมีและยาปฏิชีวนะมาใช้กับพืชและสัตว์  เกษตรกรลงมือจัดการการผืนดินด้วยมือของตัวเอง  แต่เมื่อความต้องการผลผลิตสูงขึ้นและพื่นที่ที่เพื่อปลูกยังคงต้องต่อสู้กับสภาพอากาศอันเลวร้าย 
ในช่วงที่ผ่านมา  การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และมีสารเคมีที่เป็นห่วงโซ่อาหารของเราเผชิญกับการต่อต้านและข้อโต้แย้งอย่างหนัก และก็สมควรแล้วที่เป็นเช่นนี้สิ่งสิ่งแวดล้อม แรงผลักดันที่จะได้นำไปสู่ระบบการเกษตรที่ปลอดภัยมากขึ้นและส่งผลเสียน้อยลงไปและได้แพร่หลายไปยังทั่วโลกได้อย่างชัดเจน
อยากได้  ออร์แกนิก”  ต้องจ่ายแพงกว่า
            เมื่อคิดถึงคำกล่าวอ้างและข้อดีของอาหารออร์แกนิกที่ชวนเชื่อกันก็ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนอยากลองอาหารออร์แกนิกบ้างสักครั้ง  แต่เมื่อคุณยืนอยู่ในแผนกของสดในซูเปอร์มาร์เกตแถวบ้าน  แล้วมองไปที่แผงบลูเบอร์รี่ที่มีราคากล่องละ4.99 ดอลลาร์  ข้างๆกันมีบลูเบอร์รี่ธรรมดาที่เหมือนกันทุกประการในราคากล่องล่ะ  2.50 ดอลลาร์  คุณก็คงสงสัยว่าทำไมสินค้าออร์แกนิกจึงแพงกว่า  ในฐานะผู้บริโภคช่างสงสัย  ผมรู้สึกข้องใจเกี่ยวกับความเหมาะสมของการตั้งราคาที่สูงกว่า  ซึ่งบางครั้งสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่ปลูกแบบทั่วไปถึง  20 – 100 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว  ผมจึงเริ่มค้นหาข้อมูล  แล้วสิ่งที่ได้ค้นพบส่วนใหญ่ก็ฟังดูสมเหตุสมผลขึ้น
ทั้งหมดควรเริ่มต้นจากพื้นที่เกษตร  หลัดเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับก็คือ  ยิ่งสินค้าที่ผลิตด้วยต้นทุนสูงมากเท่าใด  ราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อซื้อปลีกก็ย่อมสูงขึ้นเท่านั้น  คุณคงแทบจะเถียงไม่ได้เลยกับคำพูดที่ว่าการทำเกษตรออร์แกนิกมักต้องอาศัยแรงงานมากกว่าทำเกษตรแบบธรรมดา  ขณะที่เกษตรแบบทั่วไปสามารถใช้ยาฆ่าวัชพืชได้  เกษตรกรในไร่ออร์แกนิกกลับทำเช่นนั้นไม่ได้ทางอกของพวกเขาก็คือใช้มือเด็ดวัชพืช  ปลูกพืชหมุนเวียนและพรวนดิน  ทั้งสามวิธีนี้ต้องใช้การทำงานด้วยมือ  ซึ่งย่อมหมายถึงค่าจ้างที่สูงขึ้นและพืชผลที่แพงขึ้นเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว  แต่กรณีนี้ต่างจากการผลิตกระเป๋าถือแบรนด์เนมมาก  สิ่งที่เรียกว่ากระเป๋าถือสุดหรูซึ่งวางจำหน่ายในราคาหลายร้อยหลายพันดอลลาร์เหล่านี้ส่วนใหญ่ผลิตขึ้นในคลังสินค้าต่างแดนที่ราคาค่าแรงต่ำอย่างน่าตกใจและสภาพแวดล้อมการทำงานค่อนข้างจะทารุณโหดร้าย  แน่นอนว่าราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหายที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อกระเป๋าเหล่านี้วางจำหน่ายบนชั้นย่อมไม่สมเหตุสมผลเมื่อดูจากข้อโต้แย้งเรื่องราคาค่าจ้างแรงงาน  แต่ในกรณีผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก  ข้อโต้แย้งนับว่าฟังขึ้นทีเดียว
ประเด็นต่อไปนี้เป็นเรื่องปริมาณการผลิต  พื้นที่เพาะปลูกในระบบออร์แกนิกมักมีขนาดเล็กกว่า  ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ย่อมน้อยลงการตั้งราคาเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำในการบริหารพื้นที่เพาะปลูกก็ย่อมเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากกว่าและตั้งราคาสินค้าของตนได้ถูกกว่า  เพราะกำไรไม่ได้เกิดจากส่วนต่าง  (ราคาขายต่อชิ้นหักลบกับต้นทุนในการผลิตต่อชิ้น)  แต่มาจากปริมาณ  (ขายได้มากขึ้นในราคาที่ถูกลงและยังคงได้กำไร  เพราะปริมาณที่ขายได้นั้นสูงมาก)  และที่สำคัญต้องดูที่ผลผลิตด้วย  ไม่มีพื้นที่การเกษตรใดที่เก็บเกี่ยวและขายผลผลิตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์จากจำนวนพืชที่ปลูกหรือสัตว์ที่เลี้ยงเพื่อส่งฆ่า  ไม่ว่าจะเพราะโรคภัย  ความเสียหายอากาศ  หรือเพราะพืช/สัตว์ไม่ได้มาตรฐาน  ก็ย่อมต้องมีความสูญเสียบ้างในการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้งความสูญเสียนี้นับว่าสูงเป็นพิเศษสำหรับไร่นาออร์แกนิก  เพราะต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาด้วยมือหรือตามธรรมชาติและกลยุทธิ์เชิงป้องกันแทนที่จะใช้สารเคมีซึ่งราคาถูกกว่าและมักได้ผลดีกว่าในพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า  ขณะที่เกษตรกรในระบบทั่วไปอาจคาดคะเนความเสียหายจากการเก็บเกี่ยวไว้ที่10  เปอร์เซ็นต์  เกษตรกรในระบบออร์แกนิกต้องคาดคะเนความเสียหายไว้ที่  20-40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
            แนวทางในการรับรองมาตรฐานสินค้าออร์แกนิกยังทำให้คุ้มค่าใช้จ่ายสูงขึ้นอีก  แรงงานในไร่ต้องมีความรู้และทักษะในวิธีการเฉพาะบางอย่าง  เพื่อที่จะสามารถดำเนินตามกระบวนการ  ข้อตกลง  และการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น  ตลอดจนมั่นใจได้ว่าพื้นที่การเกษตรนั้นๆปฏิบัติตามมาตรฐานที่รัฐบาลกลางกำหนดไว้  จากนั้นคุณยังต้องมีผู้จัดการที่มีความรู้  เพื่อให้แน่ใจว่าคนงานทำตามวิธีการที่ถูกต้องและทุกอย่างเป็นไปตามบทที่บัญญัติ  ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรมนุษย์เท่ากับเงิน  แม้ว่าทั้งการเกษตรแบบดั้งเดิมและออร์แกนิกต่างก็มีแนวทางกำหนดไว้มากมายสำหรับการดำเนินการ  แต่เกษตรกรในระบบออร์แกนิกกลับต้องทำตามมาตรฐานสูงสุดและข้อกำหนดที่เข้มงวดยิ่งกว่า
วิชาการค้าปลีก101(Retail 101)  สอนคุณว่ายิ่งสินค้าขายออกได้ช้าผู้ค้าปลีกก็จะคิดราคาแพงขึ้น”  ไม่ว่าจะเป็นแบบธรรมดาหรือแบบออร์แกนิก  ผลิตภัณฑ์อาหารก็ย่อมมีอายุในการเก็บที่จำกัด  ผู้ค่าปลีกอยู่ในธุรกิจที่ต้องหาเงินไม่ใช่หาเพื่อน  หากสินค้าชนิดนั้นๆขายได้ช้ากว่าสินค้าชนิดอื่นๆผู้ค่าปลีกก็ต้องตัดสินใจว่าจะยกเลิกสินค้านั้นหรือบวกราคาขึ้น  การขึ้นราคาย่อมหมายความว่าผู้ค้าจะขายสินค้านั้นได้น้อยกว่า  แต่ก็ยังทำกำไรได้บ้างทั้งหมดนี้คือเรื่องของผลกำไรในระบบค้าปลีก  ผู้ค้าปลีกหลายรายบอกว่าแม้ความต้องการสินค้าออร์แกนิกจะเพิ่มขึ้นมากในหลายปีที่ผ่านมา  แต่คนส่วนใหณ่ก็ยังคงใช้จ่ายเงินไปกับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตตามกรรมวิธีเดิมเสียเป็นส่วนใหญ่  ดังนั้นเพื่อชดเชยส่วนต่างของอัตราการขาย  บางครั้งพวกเขาก็ต้องเพิ่มราคาอาหารออร์แกนิกขึ้นไปอีก  เพื่อป้องกันการขาดทุนจากสินค้าที่ขายไม่ออก
ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่  แต่ก็ยังคงมีเหตุผลที่เหมาะสมว่าทำไมอาหารออร์แกนิกจึงแพงกว่าอาหารที่เพาะปลูกแบบทั่วไปคุณเพียงต้องตัดสินใจว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากอาหารออร์แกนิกคุ้มค่าเงินที่คุณต้องจ่ายเพิ่มหรือไม่
อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า  ออร์แกนิก ดีต่อสุขภาพมากกว่า
            เพียงเพราะอาหารติดฉลากออร์แกนิก  ผู้คนจึงมักคิดเอาเองว่าอาหารนั้นต้องดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารชิดอื่นๆที่ปลูกแบบดั้งเดิม  ไม่ใช่เลยอย่างที่ผมได้พูดไปก่อนแล้วในบทนี้  คำว่าออร์แกนิกเพียงแค่อธิบายส่วนประกอบและกรรมวิธีการผลิตอาหารเท่านั้น  การติดฉลากไม่ได้บอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นต้องดีต่อสุขภาพ  มีเหตุผลมากมายที่ทำให้สินค้าออร์แกนิกกลายเป็นอุตสาหกรรมที่มูลค่าถึงหนึ่งหมื่นหกพันดอลลาร์  และเหตุผลหนึ่งก็เพราะผู้บริโภคเชื่ออย่างผิดๆว่า  เพียงแค่ซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกก็เท่ากับกำลังซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพที่สุดบนชั้นวางสินค้าแล้ว  อันที่จริงหลายคนเชื่อว่าการบริโภคอาหารที่มาจากผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกมากขึ้นย่อมหมายถึงโอกาสในการลดน้ำหนักได้สำเร็จที่สูงขึ้นด้วย  โชคร้ายที่กลยุทธ์ทางการตลาดที่ล่อลวงและความไม่รู้ของผู้บริโภคนำไปสู่ความเชื้อผิดๆเหล่านี้
USDB  ยังคงตั้งใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างเรื่องสุขภาพชองอาหารออร์แกนิก  โดยกล่าวอย่างชัดเจนว่า  เพียงเพราะ  USDB  เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการรับรองอาหารออร์แกนิก  ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องพูดถึงหรือสนับสนุนคำกล่าวอ้างที่บอกว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ปลอดภัยมากกว่า  มีสารอาหารมากกว่า  หรือดีต่อสุขภาพ  แม้แต่มูลนิธิวิจัยการเกษตรอินทรีย์  (Organic Farming Research Foundation)  ซึ่งมีพันธกิจที่ระบุไว้ว่า  เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและนำระบบการเกษตรอินทรีย์ไปใช้ในวงกว้างก็เห็นด้วยว่ายังไม่มีงานวิจัยที่ระบุชัดว่าอาหารออร์แกนิกดีต่อสุขภาพมากกว่า
อย่างไรก็ตามประเด็นหลักอย่างหนึ่งก็คือเรื่องปริมาณสารกำจัดศรัตรูพืชที่ตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารของเรา  นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดเมื่อพิจารณาถึงคุณภาพของผักและผลไม้  เพราะแบคที่เรียและแมลงต่างๆอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับพืชผล  เกษตรกรจึงใช้สารกำจัดศัตรูพืชเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกัโรคและรักษาผลผลิตของตน  แม้ว่าสารเคมีเหล่านี้จะป้องกันพืชผลได้ดีเยี่ยมแต่คำถามก็คือสารเหล่านี้มีผลต่อร่างกานเราอย่างไรบ้าง  หากรับประทานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอาหารด้วย
มีสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าส่วนประกอบที่ออกฤทธ์ในสารกำจัดศัตรูพืชก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาอย่างต่อเนื่อง  เช่น  ความผิดปกติของระบบประสาท  อาการระคายเคืองผิวหนังและตา  โรคมะเร็ง  ภาวะฮอร์โมนไม่สมบูรณ์  และความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ  (ทำหน้าที่ผลิตและหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะเฉพาะส่วนแต่สิ่งที่ยังไม่เคยรู้คือปริมาณสารกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างอยู่ในอาหารที่ขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เกตนั้นสูงพอที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเราหรือไม่
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมหรือ  EPA  ( Enviornmental Protection Agency)ได้ระบุชนิดของสารกำจัดศัตรูพืชที่นำมาใช้ในการทำการเกษตรได้  โดยก่อนที่จะรับรองสารกำจัดศัตรูพืชแต่ละชนิด  EPA  จะกำหนดปริมาณที่ใช้  ความถี่ในการใช้  และเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ปกป้องที่ต้องใช้  เป็นต้น  เป็นที่เข้าใจกันว่าแม้จะมีการล้างผักและผลไม้ก่อนนำออกจากพื้นที่เพาะปลูก  แต่ก็ยังคงมสารกำจัดศัตรพืชติดอยู่ที่ผิวชั้นนอกของพืชผลอยู่บ้าง  หรืออันที่จริงอาจซึมลงไปในเนื้ออาหารด้วยซ้ำ  นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า  สารตกค้างจากสารกำจัดศัตรูพืช”  PEA  ได้กำหนดระดับ  ที่รับได้”  หรือขีดสูงสุดของระดับอัตราตกค้าง  หากพบว่ามีสารตกค้างมากกว่าระดับที่รับได้  อาหารนั้นจะถูกรัฐบาลเรียกคืน  ในการกำหนดระดับที่รับได้  EPA จะต้องหาผลลัพธ์ที่ปลอดภัยในการนำสารกำจัดศัตรูพืชมาใช้ด้วย  ค่าที่แน่นอนในระดับเหมาะสมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตราย”  โดยนำมาใช้สำหรับอาหารนำเข้า  ตลอดจนอาหารที่เพาะปลูกได้ภายในประเทศ
อาหารออร์แกนิกจะต้องเพาะปลูกโดยไม่ใช้สารกำจัดศัตรูพืชและไม่ควรมีสารดังกล่าวตกค้างในอาหาร  นี่คือสาเหตุที่ทำให้บางคนอ้างว่าอาหารออร์แกนิกดีต่อสุขภาพมากกว่า  แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยว่า  ปริมาณสารตกค้างที่อนุญ่ตและที่พบในผลิตภัณฑ์ซึ่งปลูกด้วยวิธีเดิมต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ  ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็เลือกที่จะไม่เทน้ำหนักไปทางใดไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีน้ำหนักพอจะชี้ชัดว่าผลิตภัณฑ์จากการเกษตรแบบเดิมเป็นอันตรายเพราะสารตกค้างจากสารกำจัดศัตรูพืช  แต่หากคุณสามารถจ่ายเงินซื้ออาหารที่ไม่มีทางที่จะมีสารตกค้างเหล่านี้ได้  และทำไมถึงไม่ซื้อล่ะ

ประเด็นอื่นนอกจากสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างก็คืออาหารออร์แกนิก  มีสารอาหารซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่หนาแน่นกว่าหรือไม่  เช่น  วิตามิน  แร่ธาตุ  และสารต้านอนุมูลอิสระ  แต่ก็ยังไม่มีการทำวิจัยที่ทำซ้ำได้น่าเชื่อถือ  และมีขนาดใหญ่พอ  ที่จะแสดงให้เห็นว่าการปลูกพืชผักออร์แกนิกจะช่วยเพิ่มสารอาหารเหล่านี้ในพืชได้โดยอัตโนมัติ  นี่คือสาเหตุที่ทำให้การซื้ออาหารออร์แกนิกด้วยความเชื่อว่าคุณกำลังจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  เพราะได้กินอาหารที่มีคุณภาพดีกว่ายังขาดการรับรองจากข้อเท็จจริง








ที่มา
สมิธ,  เอียน  เค.

กินเป็น  อยู่ยืน  /  นายแพทย์เอียน  เค  สมิธเขียน ; ธีร์  ทิพกฤต  แปล  จาก  Eat-กรุงเทพอัมรินทร์สุขภาพ  อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2555.