เผยโฉมอาหารออร์แกนิก
เป็นเวลานานแล้วที่ทุกครั้งเมื่อผมเห็นคำว่า “ ออร์แกนิก ” คำถามสามข้อนี้ผุดขึ้นมาในความคิดทันที ข้อแรก “ออร์แกนิก” นี่หมายถึงอะไรกันแน่ ข้อที่สอง
อาหารออร์แกนิกนนี่มันดีต่อสุขภาพมากกว่าจริงๆ หรือเป็นเพียงกลยุทธ์อย่างหนึ่งทางการตลาดชั้นเยี่ยมเท่านั้น
และสาม ทำไมอาหารออร์แกนิกจึงแพงกว่าอาหารที่เพาะปลูกด้วยกรรมวิธีทั่วไป
ผมได้รู้มาว่าไม่มีแค่ผมคนเดียวที่ถามคำถามเหล่านี้กับคนอื่นๆนับล้านๆ และอาจรวมถึงตัวคุณเองด้วย ที่ถามคำถามเดียวกันนี้ แต่สิ่งที่น่าสับสนยิ่งกว่าก็คือ
เมื่อคุณแสวงหาคำตอบเหล่านี้ คุณต้องระวังแหล่งข้อมูลด้วย เพราะหลายสิ่งมีส่วนได้ส่วนเสีย
ในเงินธุรกิจพันล้านที่กำลังเติบโตขึ้น
ผมไม่ใช่เกษตรกร ไม่ว่าจะระบบดั้งเดิมหรือระบบออร์แกนิก และไม่ใช่พ่อค้าผลิตภัณฑ์อาหาร
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ผมไม่มีเดิมพันในการแข่งขันนี้ผมจึงเดินหน้าในกิจการในภารกิจค้นหาคำตอบที่แท้จริง ไม่เพียงแค่เพื่อตัวผมเอง
แต่ยังเพื่อคุณอีกด้วย และนี่คือสิ่งที่ผมค้นพบ
อาหารออร์แกนิค เป็นผลผลิตจากการทำฟาร์มแบบออร์แกนิค ปัจจุบัน สหภาพยุโรป
สหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ
อีกหลายประเทศได้มีการออกกฎให้ผู้ผลิตต้องมีหนังสือรับรองพิเศษหากต้องการทำตลาดอาหารออร์แกนิคในประเทศของตน
โดยมีเงื่อนไขว่า อาหารออร์แกนิคต้องเป็นผลผลิตที่ได้มาตรฐานที่รัฐและองค์กรสากลตั้งขึ้น
การผลิตอาหารออร์แกนิคเป็นอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบที่เข้มงวด และแตกต่างกับการซื้อขายโดยตรงระหว่างชาวสวนและผู้บริโภค
ในขณะที่มาตรฐานของคำว่า "ออร์แกนิค"
ต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วๆ ไป การทำฟาร์มออร์แกนิค หมายถึง
การทำฟาร์มในที่ๆ
กำหนดและการเพาะปลูกที่มีเงื่อนไขสนับสนุนให้เกิดการผสมผสานกระบวนการทางวัฒนธรรม
ชีวภาพ และกลภาพที่จะดูแลวัฏจักรการหมุนเวียนของทรัพยากรให้เกิดความสมดุลย์ทางธรรมชาติ
และรักษาความหลากหลายทางชีววิทยา โดยไม่อนุญาตให้มีการใช้ยาฆ่าแมลงแบบสังเคราะห์และปุ๋ยเคมี อย่างไรก็ตาม
ยาฆ่าแมลงที่ผลิตจากผลผลิตทางธรรมชาติบางชนิดอาจยอมรับได้หากถูกนำมาใช้งานภายใต้ข้อยกเว้นแต่ในจำนวนไม่มากนัก
โดยทั่วไป อาหารออร์แกนิคต้องเป็นอาหารที่ไม่มีการฉายรังสี การใช้สารเคมี หรือ ใช้วัตถุเจือปนอาหารทางเคมี
มีหลักฐานมากพอที่จะยืนยันได้ว่า
อาหารออร์แกนิคมีความปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากว่าอาหารธรรมดาทั่วไป
คำว่าออร์แกนิก
หรืออาหารเกษตรอินทรีย์
ต่างจากศัพท์อื่นๆในวงการอาหาร เพราะไม่ใช่คำที่ต้องมาตีความกัน
รูปคำและสถานการณ์ ที่นำมาใช้อธิบายอาหารได้ถูกกำหนดมาอย่างชัดเจน
และทำให้เข้าใจง่ายอย่างน่าประทับใจ
ผู้ผลิตต้องลงแรงสักหน่อยเพื่อให้ได้รับอนุญาตติดลากอาหารออร์แกนิก
บนผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
ในขั้นแรกผู้รับรองที่ได้รับการยกย่องการยอมรับจากรัฐบาลต้องทำการตรวจสอบไร่นาที่ทำการปลูกอาหาร เพื่อให้แน่ใจว่าที่เพาะปลูกนั้นๆ
เป็นไปตามและถูกต้องตามกำหนดที่จำเป็นสำหรับหลักมาตรฐานอาหารออร์แกนิก ของ USDA และแม้แต่ขั้นตอนต่อจากนี้ เกษตรกรตลอดจนบริษัทที่จัดการหรือแปรรูปอาหารออร์แกนิกเผื่อเตรียมจำหน่ายในชั้นววางสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านอาหารที่ต้องผ่านการรับรองด้วย
สัตว์ที่เลี้ยงด้วยระบบออร์แกนิกจะต้องกินอาหารที่ปลุกด้วยระบบออร์แกนิก ต้องไม่ถูกกักบริเวณตลอดเวลาและไม่ต้องฉีดยาปฏิชีวนะ
และโฮโมนต่างๆเนื่องจากกระบวนการที่ยุ่งยาก และอาจเสียค่าใช้จ่ายสูง
การทำเกษตรแบบออร์นิกหรือเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างแตกต่างจากเกษตรแบบดั้งเดิมทั้งในรูปแบบและสาระ
จุดประสงค์ดั้งเดิมของการเกษตรออร์แกนิกคือ
เพื่อส่งเสริมการอรุรักษ์ดินและน้ำ
รวมทั้งมลพิษ โดยใช้วิธีการเกษตรที่ยังคงผลิตอาหารที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของเราเกษตรออร์แกนิกจะไม่ใช้วีการเดิมๆในการใส่ปุ๋ยควบคุมวัชพืช หรือป้องกันไม่ให้สัตว์ติดเชื้อหรือเป็นโรค
ในหลายๆทางการเกษตรแบบออร์แกนิก
คือการย้อนกลับไปสู่การทำไร่นาแบบในอดีต
สมัยที่ยังไม่มีการนำสารเคมีและยาปฏิชีวนะมาใช้กับพืชและสัตว์
เกษตรกรลงมือจัดการการผืนดินด้วยมือของตัวเอง
แต่เมื่อความต้องการผลผลิตสูงขึ้นและพื่นที่ที่เพื่อปลูกยังคงต้องต่อสู้กับสภาพอากาศอันเลวร้าย
ในช่วงที่ผ่านมา การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และมีสารเคมีที่เป็นห่วงโซ่อาหารของเราเผชิญกับการต่อต้านและข้อโต้แย้งอย่างหนัก
และก็สมควรแล้วที่เป็นเช่นนี้สิ่งสิ่งแวดล้อม
แรงผลักดันที่จะได้นำไปสู่ระบบการเกษตรที่ปลอดภัยมากขึ้นและส่งผลเสียน้อยลงไปและได้แพร่หลายไปยังทั่วโลกได้อย่างชัดเจน
อยากได้ “ออร์แกนิก” ต้องจ่ายแพงกว่า
เมื่อคิดถึงคำกล่าวอ้างและข้อดีของอาหารออร์แกนิกที่ชวนเชื่อกันก็ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนอยากลองอาหารออร์แกนิกบ้างสักครั้ง
แต่เมื่อคุณยืนอยู่ในแผนกของสดในซูเปอร์มาร์เกตแถวบ้าน แล้วมองไปที่แผงบลูเบอร์รี่ที่มีราคากล่องละ4.99 ดอลลาร์ ข้างๆกันมีบลูเบอร์รี่ธรรมดาที่เหมือนกันทุกประการในราคากล่องล่ะ 2.50 ดอลลาร์
คุณก็คงสงสัยว่าทำไมสินค้าออร์แกนิกจึงแพงกว่า ในฐานะผู้บริโภคช่างสงสัย
ผมรู้สึกข้องใจเกี่ยวกับความเหมาะสมของการตั้งราคาที่สูงกว่า
ซึ่งบางครั้งสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่ปลูกแบบทั่วไปถึง 20 – 100 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ผมจึงเริ่มค้นหาข้อมูล
แล้วสิ่งที่ได้ค้นพบส่วนใหญ่ก็ฟังดูสมเหตุสมผลขึ้น
ทั้งหมดควรเริ่มต้นจากพื้นที่เกษตร หลัดเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับก็คือ ยิ่งสินค้าที่ผลิตด้วยต้นทุนสูงมากเท่าใด ราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อซื้อปลีกก็ย่อมสูงขึ้นเท่านั้น คุณคงแทบจะเถียงไม่ได้เลยกับคำพูดที่ว่าการทำเกษตรออร์แกนิกมักต้องอาศัยแรงงานมากกว่าทำเกษตรแบบธรรมดา
ขณะที่เกษตรแบบทั่วไปสามารถใช้ยาฆ่าวัชพืชได้ เกษตรกรในไร่ออร์แกนิกกลับทำเช่นนั้นไม่ได้ทางอกของพวกเขาก็คือใช้มือเด็ดวัชพืช ปลูกพืชหมุนเวียนและพรวนดิน ทั้งสามวิธีนี้ต้องใช้การทำงานด้วยมือ
ซึ่งย่อมหมายถึงค่าจ้างที่สูงขึ้นและพืชผลที่แพงขึ้นเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว
แต่กรณีนี้ต่างจากการผลิตกระเป๋าถือแบรนด์เนมมาก
สิ่งที่เรียกว่ากระเป๋าถือสุดหรูซึ่งวางจำหน่ายในราคาหลายร้อยหลายพันดอลลาร์เหล่านี้ส่วนใหญ่ผลิตขึ้นในคลังสินค้าต่างแดนที่ราคาค่าแรงต่ำอย่างน่าตกใจและสภาพแวดล้อมการทำงานค่อนข้างจะทารุณโหดร้าย
แน่นอนว่าราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหายที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อกระเป๋าเหล่านี้วางจำหน่ายบนชั้นย่อมไม่สมเหตุสมผลเมื่อดูจากข้อโต้แย้งเรื่องราคาค่าจ้างแรงงาน แต่ในกรณีผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ข้อโต้แย้งนับว่าฟังขึ้นทีเดียว
ประเด็นต่อไปนี้เป็นเรื่องปริมาณการผลิต
พื้นที่เพาะปลูกในระบบออร์แกนิกมักมีขนาดเล็กกว่า
ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ย่อมน้อยลงการตั้งราคาเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำในการบริหารพื้นที่เพาะปลูกก็ย่อมเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากกว่าและตั้งราคาสินค้าของตนได้ถูกกว่า เพราะกำไรไม่ได้เกิดจากส่วนต่าง
(ราคาขายต่อชิ้นหักลบกับต้นทุนในการผลิตต่อชิ้น) แต่มาจากปริมาณ
(ขายได้มากขึ้นในราคาที่ถูกลงและยังคงได้กำไร เพราะปริมาณที่ขายได้นั้นสูงมาก) และที่สำคัญต้องดูที่ผลผลิตด้วย ไม่มีพื้นที่การเกษตรใดที่เก็บเกี่ยวและขายผลผลิตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์จากจำนวนพืชที่ปลูกหรือสัตว์ที่เลี้ยงเพื่อส่งฆ่า ไม่ว่าจะเพราะโรคภัย ความเสียหายอากาศ หรือเพราะพืช/สัตว์ไม่ได้มาตรฐาน
ก็ย่อมต้องมีความสูญเสียบ้างในการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้งความสูญเสียนี้นับว่าสูงเป็นพิเศษสำหรับไร่นาออร์แกนิก
เพราะต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาด้วยมือหรือตามธรรมชาติและกลยุทธิ์เชิงป้องกันแทนที่จะใช้สารเคมีซึ่งราคาถูกกว่าและมักได้ผลดีกว่าในพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า ขณะที่เกษตรกรในระบบทั่วไปอาจคาดคะเนความเสียหายจากการเก็บเกี่ยวไว้ที่10
เปอร์เซ็นต์ เกษตรกรในระบบออร์แกนิกต้องคาดคะเนความเสียหายไว้ที่ 20-40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
แนวทางในการรับรองมาตรฐานสินค้าออร์แกนิกยังทำให้คุ้มค่าใช้จ่ายสูงขึ้นอีก
แรงงานในไร่ต้องมีความรู้และทักษะในวิธีการเฉพาะบางอย่าง เพื่อที่จะสามารถดำเนินตามกระบวนการ ข้อตกลง
และการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น
ตลอดจนมั่นใจได้ว่าพื้นที่การเกษตรนั้นๆปฏิบัติตามมาตรฐานที่รัฐบาลกลางกำหนดไว้ จากนั้นคุณยังต้องมีผู้จัดการที่มีความรู้
เพื่อให้แน่ใจว่าคนงานทำตามวิธีการที่ถูกต้องและทุกอย่างเป็นไปตามบทที่บัญญัติ ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรมนุษย์เท่ากับเงิน
แม้ว่าทั้งการเกษตรแบบดั้งเดิมและออร์แกนิกต่างก็มีแนวทางกำหนดไว้มากมายสำหรับการดำเนินการ
แต่เกษตรกรในระบบออร์แกนิกกลับต้องทำตามมาตรฐานสูงสุดและข้อกำหนดที่เข้มงวดยิ่งกว่า
วิชาการค้าปลีก101(Retail 101)
สอนคุณว่า” ยิ่งสินค้าขายออกได้ช้าผู้ค้าปลีกก็จะคิดราคาแพงขึ้น” ไม่ว่าจะเป็นแบบธรรมดาหรือแบบออร์แกนิก
ผลิตภัณฑ์อาหารก็ย่อมมีอายุในการเก็บที่จำกัด
ผู้ค่าปลีกอยู่ในธุรกิจที่ต้องหาเงินไม่ใช่หาเพื่อน หากสินค้าชนิดนั้นๆขายได้ช้ากว่าสินค้าชนิดอื่นๆผู้ค่าปลีกก็ต้องตัดสินใจว่าจะยกเลิกสินค้านั้นหรือบวกราคาขึ้น
การขึ้นราคาย่อมหมายความว่าผู้ค้าจะขายสินค้านั้นได้น้อยกว่า
แต่ก็ยังทำกำไรได้บ้างทั้งหมดนี้คือเรื่องของผลกำไรในระบบค้าปลีก
ผู้ค้าปลีกหลายรายบอกว่าแม้ความต้องการสินค้าออร์แกนิกจะเพิ่มขึ้นมากในหลายปีที่ผ่านมา แต่คนส่วนใหณ่ก็ยังคงใช้จ่ายเงินไปกับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตตามกรรมวิธีเดิมเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเพื่อชดเชยส่วนต่างของอัตราการขาย
บางครั้งพวกเขาก็ต้องเพิ่มราคาอาหารออร์แกนิกขึ้นไปอีก เพื่อป้องกันการขาดทุนจากสินค้าที่ขายไม่ออก
ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ก็ยังคงมีเหตุผลที่เหมาะสมว่าทำไมอาหารออร์แกนิกจึงแพงกว่าอาหารที่เพาะปลูกแบบทั่วไปคุณเพียงต้องตัดสินใจว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากอาหารออร์แกนิกคุ้มค่าเงินที่คุณต้องจ่ายเพิ่มหรือไม่
อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า
ออร์แกนิก = ดีต่อสุขภาพมากกว่า
เพียงเพราะอาหารติดฉลากออร์แกนิก ผู้คนจึงมักคิดเอาเองว่าอาหารนั้นต้องดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารชิดอื่นๆที่ปลูกแบบดั้งเดิม ไม่ใช่เลย! อย่างที่ผมได้พูดไปก่อนแล้วในบทนี้
คำว่า”ออร์แกนิก” เพียงแค่อธิบายส่วนประกอบและกรรมวิธีการผลิตอาหารเท่านั้น
การติดฉลากไม่ได้บอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นต้องดีต่อสุขภาพ มีเหตุผลมากมายที่ทำให้สินค้าออร์แกนิกกลายเป็นอุตสาหกรรมที่มูลค่าถึงหนึ่งหมื่นหกพันดอลลาร์
และเหตุผลหนึ่งก็เพราะผู้บริโภคเชื่ออย่างผิดๆว่า เพียงแค่ซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกก็เท่ากับกำลังซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพที่สุดบนชั้นวางสินค้าแล้ว อันที่จริงหลายคนเชื่อว่าการบริโภคอาหารที่มาจากผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกมากขึ้นย่อมหมายถึงโอกาสในการลดน้ำหนักได้สำเร็จที่สูงขึ้นด้วย
โชคร้ายที่กลยุทธ์ทางการตลาดที่ล่อลวงและความไม่รู้ของผู้บริโภคนำไปสู่ความเชื้อผิดๆเหล่านี้
USDB ยังคงตั้งใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างเรื่องสุขภาพชองอาหารออร์แกนิก โดยกล่าวอย่างชัดเจนว่า เพียงเพราะ
USDB เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการรับรองอาหารออร์แกนิก
ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องพูดถึงหรือสนับสนุนคำกล่าวอ้างที่บอกว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ปลอดภัยมากกว่า มีสารอาหารมากกว่า หรือดีต่อสุขภาพ แม้แต่มูลนิธิวิจัยการเกษตรอินทรีย์ (Organic Farming Research
Foundation) ซึ่งมีพันธกิจที่ระบุไว้ว่า “เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและนำระบบการเกษตรอินทรีย์ไปใช้ในวงกว้าง”ก็เห็นด้วยว่ายังไม่มีงานวิจัยที่ระบุชัดว่าอาหารออร์แกนิกดีต่อสุขภาพมากกว่า
อย่างไรก็ตามประเด็นหลักอย่างหนึ่งก็คือเรื่องปริมาณสารกำจัดศรัตรูพืชที่ตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารของเรา
นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดเมื่อพิจารณาถึงคุณภาพของผักและผลไม้ เพราะแบคที่เรียและแมลงต่างๆอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับพืชผล
เกษตรกรจึงใช้สารกำจัดศัตรูพืชเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกัโรคและรักษาผลผลิตของตน
แม้ว่าสารเคมีเหล่านี้จะป้องกันพืชผลได้ดีเยี่ยมแต่คำถามก็คือสารเหล่านี้มีผลต่อร่างกานเราอย่างไรบ้าง หากรับประทานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอาหารด้วย
มีสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าส่วนประกอบที่ออกฤทธ์ในสารกำจัดศัตรูพืชก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาอย่างต่อเนื่อง เช่น
ความผิดปกติของระบบประสาท
อาการระคายเคืองผิวหนังและตา
โรคมะเร็ง
ภาวะฮอร์โมนไม่สมบูรณ์
และความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ (ทำหน้าที่ผลิตและหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะเฉพาะส่วน) แต่สิ่งที่ยังไม่เคยรู้คือปริมาณสารกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างอยู่ในอาหารที่ขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เกตนั้นสูงพอที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเราหรือไม่
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมหรือ EPA (
Enviornmental Protection Agency)ได้ระบุชนิดของสารกำจัดศัตรูพืชที่นำมาใช้ในการทำการเกษตรได้
โดยก่อนที่จะรับรองสารกำจัดศัตรูพืชแต่ละชนิด EPA
จะกำหนดปริมาณที่ใช้
ความถี่ในการใช้
และเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ปกป้องที่ต้องใช้
เป็นต้น เป็นที่เข้าใจกันว่าแม้จะมีการล้างผักและผลไม้ก่อนนำออกจากพื้นที่เพาะปลูก แต่ก็ยังคงมสารกำจัดศัตรพืชติดอยู่ที่ผิวชั้นนอกของพืชผลอยู่บ้าง
หรืออันที่จริงอาจซึมลงไปในเนื้ออาหารด้วยซ้ำ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “สารตกค้างจากสารกำจัดศัตรูพืช” PEA ได้กำหนดระดับ “ที่รับได้” หรือขีดสูงสุดของระดับอัตราตกค้าง หากพบว่ามีสารตกค้างมากกว่าระดับที่รับได้ อาหารนั้นจะถูกรัฐบาลเรียกคืน ในการกำหนดระดับที่รับได้ EPA จะต้องหาผลลัพธ์ที่ปลอดภัยในการนำสารกำจัดศัตรูพืชมาใช้ด้วย “ค่าที่แน่นอนในระดับเหมาะสมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตราย” โดยนำมาใช้สำหรับอาหารนำเข้า ตลอดจนอาหารที่เพาะปลูกได้ภายในประเทศ
อาหารออร์แกนิกจะต้องเพาะปลูกโดยไม่ใช้สารกำจัดศัตรูพืชและไม่ควรมีสารดังกล่าวตกค้างในอาหาร
นี่คือสาเหตุที่ทำให้บางคนอ้างว่าอาหารออร์แกนิกดีต่อสุขภาพมากกว่า แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยว่า
ปริมาณสารตกค้างที่อนุญ่ตและที่พบในผลิตภัณฑ์ซึ่งปลูกด้วยวิธีเดิมต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็เลือกที่จะไม่เทน้ำหนักไปทางใดไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีน้ำหนักพอจะชี้ชัดว่าผลิตภัณฑ์จากการเกษตรแบบเดิมเป็นอันตรายเพราะสารตกค้างจากสารกำจัดศัตรูพืช แต่หากคุณสามารถจ่ายเงินซื้ออาหารที่ไม่มีทางที่จะมีสารตกค้างเหล่านี้ได้ และทำไมถึงไม่ซื้อล่ะ
ประเด็นอื่นนอกจากสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างก็คืออาหารออร์แกนิก
มีสารอาหารซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่หนาแน่นกว่าหรือไม่ เช่น
วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็ยังไม่มีการทำวิจัยที่ทำซ้ำได้น่าเชื่อถือ และมีขนาดใหญ่พอ
ที่จะแสดงให้เห็นว่าการปลูกพืชผักออร์แกนิกจะช่วยเพิ่มสารอาหารเหล่านี้ในพืชได้โดยอัตโนมัติ นี่คือสาเหตุที่ทำให้การซื้ออาหารออร์แกนิกด้วยความเชื่อว่าคุณกำลังจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะได้กินอาหารที่มีคุณภาพดีกว่ายังขาดการรับรองจากข้อเท็จจริง
ที่มา
สมิธ, เอียน เค.
กินเป็น อยู่ยืน /
นายแพทย์เอียน เค สมิธ: เขียน ; ธีร์
ทิพกฤต : แปล จาก
Eat-กรุงเทพ:
อัมรินทร์สุขภาพ
อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2555.